การคิดและการสอนเพื่อพัฒนาการคิด
ความคิดของมนุษย์เป็นผลที่เกิดจากกลไกของสมองซึ่งเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
และเป็นไปตามธรรมชาติ
ผลของการใช้ความคิดจะแสดงให้เห็นในลักษณะของการสรุปเป็นความคิดรวบยอด
การจำแนกความแตกต่าง การจัดกลุ่ม การจัดระบบการแปลความหมายของข้อมูล
รวมทั้งการสรุปอ้างอิง การเชื่อมโยงสัมพันธ์ของข้อมูลต่าง ๆ
ที่ได้รับข้อมูลที่ได้มา อาจเป็นความจริงที่สัมผัสได้
หรือเป็นเพียงจินตนาการที่ไม่อาจสัมผัสได้ ดังนั้น
สมองจึงควรได้รับการฝึกฝนและพัฒนาอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอและคุณภาพของสมองมิได้อยู่ที่การมีสมองเท่านั้น
แต่อยู่ที่การใช้สมองเป็นสำคัญ
การฝึกทักษะกระบวนการคิดจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่เยาวชนควรได้รับ
การพัฒนาเพื่อให้เกิดความเจริญเติบโตเป็นบุคคลที่มีคุณภาพและดำรงตนอยู่ในสังคมอย่างมีความสุข
แนวการจัดการศึกษาตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542
ได้กล่าวถึงการจัดกระบวนการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับความสนใจ ความถนัดของผู้เรียน
โดยคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล เน้นฝึกฝนทักษะสำคัญ คือ กระบวนการคิด
การจัดการ การเผชิญสถานการณ์ การประยุกต์ความรู้มาใช้เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหา
การจัดกระบวนการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
โดยจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง ฝึกการปฏิบัติให้ทำได้
คิดเป็นทำเป็น ใฝ่เรียนใฝ่รู้อย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ จึงเป็นภาระงานที่สำคัญยิ่ง
และมีคุณค่าต่อความเป็นครูมืออาชีพในยุคของการปฏิรูปการเรียนรู้
ความหมาย
การคิด หมายถึง พฤติกรรมภายในที่เกิดจากกระบวนการทำงานของสมอง
ในการรวบรวมจัดระบบข้อมูลและประสบการณ์ต่าง ๆ
ทำให้เกิดเป็นรูปร่างหรือมโนภาพที่เป็นเรื่องราวขึ้นในใจและสื่อสารออกมาโดใช้คำพูดหรือแสดงออก
แนวคิด
1.การคิดและการสอนคิดเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่งในการจัดการศึกษาเพื่อให้มีคุณภาพสูง
ประเทศต่าง ๆ
ทั่วโลกได้มีการศึกษาเรื่องของการพัฒนาผู้เรียนให้เติบโตอย่างมีคุณภาพทุกด้าน
ทั้งด้านสติปัญญา คุณธรรม
และความเป็นพลเมืองดีของประเทศโดยเน้นการฝึกการคิดและกระบวนการคิด
2.การคิดเป็นกระบวนการทางปัญญาที่เกิดขึ้นตลอดเวลา
และมักจะเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอไม่มีขอบเขตจำกัด การคิดแบ่งเป็น 2
ประเภท คือ
2.1
การคิดอย่างไม่มีจุดมุ่งหมาย (Associative Thinking) เป็นการคิดแบบไม่ตั้งใจหรือมีจุดมุ่งหมายการคิด
มีลักษณะคิดไปเรื่อย ๆ การคิดเช่นนี้มักไม่มีผลสรุป
และไม่สามารถนำผลของการคิดไปใช้ประโยชน์
2.2
การคิดอย่างมีจุดหมาย (Directed Thinking) เป็นการคิดเพื่อหาคำตอบ เพื่อแก้ปัญหา
หรือนำไปสู่จุดมุ่งหมายหรือเป้าหมายโดยตรง สามารถนำผลของการคิดไปใช้ประโยชน์
3.การสอนเพื่อพัฒนาความสามารถในการคิดเป็นจุดมุ่งหมายสำคัญของการจัดการศึกษาตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน
เพราะความคิดอย่างมีจุดมุ่งหมายช่วยให้ผู้เรียนตัดสินใจหรือแก้ปัญหาได้อย่างมีคุณภาพ
และเป็นเครื่องมือสำหรับการเรียนรู้ตลอดชีวิต
โดยเฉพาะในยุคที่โลกกำลังเจริญก้าวหน้า สภาพสังคมและเศรษฐกิจเปลี่ยนไป
เป็นสังคมแห่งการพัฒนาข่าวสารข้อมูล
4.ความสามารถในการคิด
ส่งเสริมและพัฒนาให้เกิดขึ้นได้ด้วยการฝึกฝนภายในสถานการณ์ที่เหมาะสม
โดยเริ่มจากความสามารถพื้นฐานในการคิดที่เรียกว่า ทักษะการคิด
แล้วเพิ่มความซับซ้อนขึ้นโดยการฝึกลักษณะการคิดและกระบวนการคิดตามลำดับ
กรอบความคิดของการคิด ตามแนวทฤษฎีการเรียนรู้เพื่อพัฒนากระบวนการคิดของ
ทิศนา แขมณี และคณะ (2540) ได้แบ่งประเภทของการคิดเป็น 3
กลุ่มใหญ่ ๆ คือ
กลุ่มที่ 1 ทักษะการคิด
หรือทักษะการคิดพื้นฐานที่มีขั้นตอนการคิดไม่ซับซ้อน
เป็นทักษะพื้นฐานของการคิดขั้นสูง หรือระดับสูงที่มีขั้นตอนซับซ้อน
แสดงออกถึงการกระทำหรือพฤติกรรมที่ต้องใช้ความคิด แบ่งเป็น 2
ประเภท คือ ทักษะการคิดพื้นฐาน และทักษะการคิดขั้นสูง ดังนี้
1.ทักษะการคิดพื้นฐาน
ประกอบด้วย
1.1 ทักษะการสื่อความหมาย
หมายถึง ทักษะการรับสารที่แสดงถึงความคิดของผู้อื่นเข้ามาเพื่อรับรู้
ตีความแล้วจดจำ และเมื่อต้องการที่จะระลึก
เพื่อนำมาเรียบเรียงและถ่ายทอดความคิดของตนให้แก่ผู้อื่น
โดยแปลความคิดในรูปของภาษาต่าง ๆ ทั้งที่เป็นข้อความ คำพูด ศิลปะ ดนตรี คณิตศาสตร์
ฯลฯ เช่น ทักษะการฟัง ทักษะการพูด ทักษะการอภิปราย ทักษะการทำให้กระจ่าง เป็นต้น
1.2
ทักษะการคิดที่เป็นแกนหรือทักษะการคิดทั่วไป หมายถึง
ทักษะการคิดที่จำเป็นต้องใช้อยู่เสมอในการดำรงชีวิตประจำวัน เช่น ทักษะการสังเกต
ทักษะการสำรวจ ทักษะการตั้งคำถาม ทักษะเก็บรวบรวมข้อมูล ทักษะการระบุ
ทักษะการจำแนก ทักษะการเปรียบเทียบ เป็นต้น
2.ทักษะการคิดขั้นสูงหรือทักษะการคิดที่ซับซ้อน
หมายถึง ทักษะการคิดที่มีขั้นตอนหลายขั้น และต้องอาศัยทักษะการสื่อความหมาย
และทักษะการคิดที่เป็นแกนหลาย ๆ ทักษะในแต่ละขั้น เช่น ทักษะการสรุปความ
ทักษะการให้คำจำกัดความ ทักษะการวิเคราะห์ ทักษะการผสมผสานข้อมูล
ทักษะการจัดระบบความคิด ทักษะการสร้างองค์ความรู้ใหม่ ทักษะการตั้งสมมุติฐาน
เป็นต้น
กลุ่มที่ 2 ลักษณะการคิด หรือการคิดขั้นกลาง/ระดับกลาง
มีขั้นตอนในการคิดซับซ้อนมากกว่าการคิดในกลุ่มที่ 1
การคิดในกลุ่มนี้เป็นพื้นฐานของการคิดระดับสูง
ซึ่งลักษณะการคิดแต่ละลักษณะต้องอาศัยทักษะการคิดขั้นพื้นฐานมากบ้างน้อยบ้างในการคิดแบ่งเป็น
2 กลุ่ม คือ
1.ลักษณะการคิดทั่วไปที่จำเป็น
ได้แก่ การคิดคล่อง การคิดละเอียด การคิดหลากหลาย การคิดชัดเจน
2.ลักษณะการคิดที่เป็นแกนสำคัญ
ได้แก่ การคิดถูกทาง การคิดไกล การคิดกว้าง การคิดอย่างมีเหตุผล การคิดลึกซึ้ง
กลุ่มที่ 3 กระบวนการคิด หรือการคิดระดับสูง
มีขั้นตอนในการคิดซับซ้อนและต้องอาศัยทักษะการคิด
และลักษณะการคิดเป็นพื้นฐานในการคิด กระบวนการคิดมีอยู่หลายกระบวนการ เช่น
กระบวนการคิดแก้ปัญหา กระบวนการคิดตัดสินใจ กระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ
กระบวนการคิดสร้างสรรค์ เป็นต้น
แนวการวัดความสามารถด้านการคิดจากการสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในขณะจัดกิจกรรมการเรียนรู้
ตัวอย่างการจัดกิจกรรมการสอนเพื่อพัฒนาการคิด
ครูนำภาพของอาชีพต่าง ๆ
ในชุมชนมาให้นักเรียนเรียนรู้แล้วสนทนากับนักเรียนดังนี้
ในภาพนี้มีอาชีพอะไรบ้าง
นักเรียนคิดว่านอกจากอาชีพในภาพที่ครูนำมาให้ดู
ยังมีอาชีพอะไรอีกบ้าง
อาชีพแต่ละอาชีพมีความสำคัญอย่างไร
ถ้าให้นักเรียนเลือกประกอบอาชีพจะเลือกอาชีพอะไร
ถ้าประชาชนทุกคนในชุมชนมีอาชีพ
มีรายได้จะมีผลต่อประเทศชาติอย่างไร
ถ้าให้เลือกประกอบอาชีพที่สุจริต
รายได้น้อย กับการค้าของผิดกฎหมายซึ่งมีรายได้ดี นักเรียนจะเลือกอาชีพอะไร
ทักษะ/ลักษณะการคิด
การสังเกต
การทำให้กระจ่าง
การอธิบาย
การระบุ
การคิดไกล
การคิดถูกทาง
การคิดอย่างมีเหตุผล
พฤติกรรมที่วัดได้
นักเรียนบอกได้ว่ามีอาชีพอะไรบ้าง
นักเรียนบอกอาชีพต่าง ๆ
นอกเหนือจากในภาพ
นักเรียนบอกความสำคัญของแต่ละอาชีพได้
นักเรียนบอกอาชีพที่ตนชอบได้
นักเรียนบอกถึงผลที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้
นักเรียนเลือกอาชีพสุจริต
และให้เหตุผลในการเลือกได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น